วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กล่องแห่งความทรงจำ



    ..โย่ หลายคนก็คงปิดเทอมกันแล้ว อำลาชีวิต
ม.ปลาย อำลาเพื่อนๆ ส่วนน้องๆ ก็ต้องบ้ายบายให้กับ
รุ่นพี่ที่แอบปลื้ม พี่นาขอเสนอของขวัญชิ้นพิเศษ สำหรับเพื่อน หรือพี่คนสนิท ที่แอบปลื้มกันค่ะ "กล่องแห่งความทรงจำ Memories Box " 
กล่องเล็กๆ ที่เอาไว้ให้ระลึกถึงกันในวันที่คิดถึง
( ฮู่ววว...เลี่ยนเชียว )
วัสดุ-อุปกรณ์

* กล่องกระดาษ ขนาดพอเหมาะ แข็งแรงๆ

* รูปถ่ายเพื่อนๆ หรือพี่คนนั้น แล้วก็รูปตกแต่งจาก แมกกาซีนหรือ Print เอาก็ได้

* กรรไกร,คัตเตอร์,ไม้บรรทัด

* กาว
   หากล่องมาแล้วก็เชคสภาพ มีส่วนเกินมาก็ตัดเล็ม ถ้ามีช่องก็อุดช่องซะ อย่างกล่องนี้มีช่อง ก็เลยปิดช่องซะตัดรูปคนที่จะใช้ และรูปประกอบอื่นๆ เตรียมไว้ เวลาตัดต้องเหลือกระดาษตรงฐานไว้ด้วยนะ จะได้ไว้ติดกาวตั้งได้
ตัดเสร็จแล้วเตรียมไว้ แบบนี้ เห็นมั้ยว่าตั้งได้ๆทากาวแล้วเอาไปติดเลยจ้ะ จัดวางตกแต่งตามชอบเลย เชคดูนะว่าแข็งแรงก็เป็นอันเสร็จ
ใครอยากจะโชว์สเต็ปเทพติดหลอดไฟเข้าไป
ก็เอาเลยจ้า ส่วนพี่นาคงต้องไปแงะจากป้ายไฟโตโน่ 55
   ของขวัญสำหรับเพื่อนสนิทและพี่ที่ปลื้มชิ้นเดียว ในโลกก็เสร็จแล้วนะ เอาไปให้เค้ากันเลย อย่าเขินอาย โอกาสนี้เท่านั้น สู้ๆ รับรอง อึ้ง ซึ้งน้ำตาแทบไหล ><

    ส่วนใครที่เลี้ยงสุนัข หรือสนใจทำของใช้เก๋ๆ สำหรับสุนัข ก็อย่าพลาดเลยนะคะ เพื่อต้อนรับ สู่หน้าร้อนเราจะมาทำ "ปลอกคอกะลาสีน้อย"ไปดูกันว่าทำอย่างไรกันน้า

เรียนรู้ไวยากรณ์ผ่านการ์ดวันพ่อจ้า


 สวัสดีค่ะน้องๆทั้งหลายนะค่าา ใกล้จะถึงวันพ่อแล้ว น้องๆ เตรียมของขวัญหรือวางแผนไปเที่ยวที่ไหนกับคุณพ่อกันหรือยังคะ ถ้าใครไม่สะดวกไปเที่ยวหรือหาของขวัญไม่ทัน ทำการ์ดสวยๆ ซักใบแล้วเขียนข้อความดีๆ ส่งให้ คุณพ่อก็ดีใจแล้วค่ะ และเพื่อแสดงความพร้อมในการก้าวสู่ AEC (เกี่ยวมั้ยเนี่ย) ลองเปลี่ยนมาเขียนการ์ดสองภาษาดูบ้างไหมคะ วันนี้ mint  มีคำอวยพรน่ารักๆ เป็นภาษาอังกฤษมาฝากค่ะ

    ถ้าน้องๆ จะแปลจากไทยเป็นอังกฤษ
คงไม่ออกมาเป็นแบบตัวอย่างนี้แน่ๆ เลยใช่มั้ยคะ ?
เรามาวิเคราะห์คำกันดีกว่าค่ะ
Remind ปกติแปลว่า 'เตือน' ค่ะ ไม่ใช่ตักเตือน แต่เป็นเตือนเพราะกลัวลืมมากกว่าค่ะ แต่ที่ภาษาอังกฤษไม่ใช้ tell เพราะต้องการจะสื่ออารมณ์ว่า พ่อเป็นแบบนี้มาตลอดเลยนะ พ่ออาจจะลืมไปบ้าง (อาจเพราะหนูมีเพื่อน มีแฟน หรือยุ่งๆ กับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาให้พ่อเหมือนตอนเด็ก พ่ออาจคิดว่าหนูเลิกให้ความสำคัญ) แต่อยากจะบอกให้รู้อีกครั้งว่าพ่อก็เป็นโลกของหนูมาตลอดจริงๆ
Deserve ปกติเราชอบนึกถึง “สมควร” มากกว่า อย่างเวลาดูหนังสักเรื่อง ถ้าตัวร้ายรับกรรมเมื่อไหร่ เราก็จะบอกว่ามันสมควรโดนแล้วหรือพูดได้ว่า He got what he deserved. เพราะฉะนั้นน้องๆ หลายคนอาจจะคุ้นกับคำนี้ในแง่ลบมากกว่า แต่ที่จริงมีอีกตัวอย่างหนึ่งของคำนี้ที่น่าจะคุ้นหูมากเลยนะคะ เพียงแต่เราอาจไม่เคยฟังเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นเอง นั่นก็คือสโลแกนของเครื่องสำอางค์ยี่ห้อหนึ่งค่ะที่ว่า “...คุณค่าที่คุณคู่ควร” หรือ “… because you deserve it.”

 May you be blessed with a long healthy life. May all the happiness in
 the world come and bow in front of you. May whatever you always
 dreamt of come true. May you have the best Father's day this year.
 Happy Father's day to you.
 ขอให้พ่อมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพดี ขอให้ความสุขทั้งหมดทั้งมวลในโลกจงมาพร้อมอยู่
 ตรงหน้าพ่อ  ขอให้ความฝันอะไรก็ตามที่พ่อเคยฝันไว้กลายเป็นจริง ขอให้พ่อมีวันพ่อที่ดี
 ที่สุดในปีนี้ สุขสันต์วันพ่อแด่พ่อครับ

     อย่างประโยคข้างบนนี้ หลายคนอาจจะคุ้นกับประโยคที่ขึ้นด้วย May ว่าเป็นประโยคขอร้อง หรือเอาไว้ขึ้นประโยคขอเข้าห้องน้ำ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถนำมาขึ้นหน้าประโยคบอกเล่าแล้วแปลว่า “ขอให้” ได้เลยค่ะ

I may have not been the best child in the world. But that didn't stop you from being the best Daddy ever! Thank you so much for everything. I'm sorry if I ever hurt you.
ผมอาจจะไม่ใช่ลูกที่ดีที่สุดในโลก แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพ่อจากการเป็นพ่อที่ดีที่สุด ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกอย่างครับ และขอโทษถ้าผมเคยทำให้พ่อเสียใจ
Dearest Dad you are always right no matter what. But the only time you are wrong is when you think that I forgot about you. Happy Father's Day.
ถึงคุณพ่อที่รัก พ่อถูกเสมอไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็ตาม แต่ครั้งเดียวที่พ่อคิดผิดก็ตอนที่พ่อคิดว่าผมลืมพ่อไปแล้ว สุขสันต์วันพ่อครับ
Not all Daddies are as much fun as you. In fact I don't think I have met anybody who can match up to your standards. It is just so cool to have you around. I love you Dad. Happy Father's day.
ไม่ใช่พ่อทุกคนที่จะสนุกสนานมากเท่าพ่อ อันที่จริงหนูว่าหนูไม่เคยเห็นใครที่จะมาเทียบเคียงระดับพ่อได้เลยนะ มันโคตรเท่เลยอ่ะเวลาที่มีพ่ออยู่ใกล้ๆ รักพ่อนะคะ สุขสันต์วันพ่อค่ะ
You're not just my Dad or my favorite partying buddy, you are my best friend. I love you so much. I don't know what I would do without you. Happy Father's day to the coolest Dad ever.
พ่อไม่ใช่แค่พ่อหรือเพื่อนร่วมปาร์ตี้คนโปรด แต่พ่อเป็นเพื่อนสนิทด้วย ผมรักพ่อมากๆ ผมไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงถ้าไม่มีพ่อ สุขสันต์วันพ่อแด่พ่อที่เจ๋งที่สุด

     น้องๆ หลายคนอาจจะเคยท่องว่า คำลงท้ายด้วย –ly เป็น Adverb เสมอ แต่กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้นค่ะ โดยเฉพาะกฎทางภาษา ข้อยกเว้นเยอะมาก บางทีก็มีข้อยกเว้นของยกเว้นอีก ดูตัวอย่างจากคำอวยพรแรกอีกทีนะคะ
 On this lovely occasion of Father's day, I just want to remind you that
 you mean the world to me. I wish you lots and lots of happiness,
 because that is what my Daddy truly deserves. Happy Father's day.

     น้องเจอทั้ง lovely และ truly แต่ lovely เป็น Adjective ค่ะ ไม่ใช่ Adverb อย่างที่เข้าใจกัน เรามาดูกันดีกว่าว่ามีคำที่ลงท้ายด้วย –ly คำไหนบ้างที่เป็น Adjective            
Elderly  
Friendly
Lovely
Unlikely
Holy
Lively
Silly
Ugly
Costly
Deadly
Curly
Unfriendly
Likely
Lonely
Manly

     โดยวิธีการใช้ก็เหมือน Adjective ทั่วไปค่ะ ที่มีหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
Lovely girl = She is lovely.
นอกจากนี้ยังมีคำที่เป็นได้ทั้ง Adjective และ Adverb ด้วย เวลาใช้ต้องพิจารณาดีๆ ค่ะ
Daily
Early
Monthly
Yearly
Weekly
Hourly
Nightly
Bimonthly
Biweekly

     พี่จะยกตัวอย่างการใช้ –ly ที่เป็นทั้ง Adjective และ Adverb ในประโยคเดียวกันให้ดูนะคะ จะได้เห็นภาพชัดเจนว่ามันต่างกันอย่างไร
I write my daily schedule dailyฉันเขียนตารางเวลาประจำวันทุกวัน
Daily คำแรกเป็น Adjective เพราะขยายคำนามตารางเวลา ว่ามันเป็นตารางเวลารายวัน 
Daily คำหลังเป็น Adverb เพราะขยายความถี่ของทั้งประโยคว่า การที่ฉันเขียนตารางเวลารายวันเนี่ย ฉันเขียนทุกวันเลยนะ สำหรับ Adverb บอกความถี่หรือความบ่อยแบบนี้ เราเรียกว่า Adverbs of frequency ค่ะ พอจะเข้าใจกันมากขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ? ^^"

   
     ทีนี้น้องๆ ก็ลองรวมคำอวยพรหลายๆ แบบมาใส่ในการ์ดของตัวเอง เอาประโยคนี้ประโยคนั้นมาตัดแปะต่อกัน เปลี่ยนคำขยายบ้างเพื่อแสดงความรู้สึกให้ตรงกับในใจน้องมากขึ้น เท่านี้ก็ได้คำอวยพรวันพ่อเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษไปให้คุณพ่อภูมิใจเล่นแล้วค่ะ
      แล้วอย่าลืมมาเรียนภาษาอังกฤษสนุกๆ กันได้ทุกๆ วันอาทิตย์ที่ และ ของเดือนนะคะ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวของวันคริสต์มาส เป็นเด็กดีเตรียมขอพรจากซานต้ากันแล้วหรือยังคะ?

การอ่านหนังสือได้นานๆ ฟิตเตรียมสอบ


วัสดีค่ะน้องๆ... คนธรรมดาสามัญชนทั่วไป(หมายถึงน้องๆ ทั่วไปนี่แหละค่ะ) เวลาจะอ่านหนังสือเรียนก็มักจะยกยอดไปอ่านช่วงใกล้สอบ กะว่าอัดหนักๆ ช่วงใกล้สอบจะได้ไม่ลืม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์มหัศจรรย์ใจมาก เพราะการยัดเยียดเนื้อหาเข้าหัววันละ 6-7 ชั่วโมงทุกวันติดต่อกันโดยไม่พัก จะทำให้สมองของเราล้าได้ 

              ดังนั้นถ้าอยากอ่านให้เข้าหัว เริ่มแรกคงต้องเริ่มจากการปรับตัว ต้องสัญญากับตัวเองก่อนว่าเราจะต้องค่อยๆ อ่านเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ผลักภาระไปช่วงใกล้สอบเพียงอย่างเดียว โดยอ่านจะแบ่งอ่านแค่วันละ 1-2 ชั่วโมงก็พอค่ะ และนี่ก็เป็นที่มาของเคล็ดลับการอ่านหนังสือที่จะแนะนำในวันนี้
              10-20-30 ตัวเลขในชื่อเรื่อง พี่มิ้นท์ไม่ได้ใบ้เลขใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ แต่นี่คือ เคล็ดลับการอ่านหนังสือที่จะช่วยเพิ่มความจำให้เข้าสมอง และจะทำให้น้องๆ จะกลับมารักการอ่านหนังสือ(เรียน)อีกครั้ง รับรองว่าเด็ดจริง อะไรจริงค่ะ

               มาเข้าสูตรกันบ้าง 10-20-30 คืออะไร? มันคือ กฎในเรื่องเวลาที่เหมาะสมสำหรับการอ่านหนังสือและเป็นประโยชน์ต่อสมองนั่นเองค่ะ โดยเริ่มจาก
เด็กดีดอทคอม :: เด็ด!! สูตรลับ 10-20-30 อ่านหนังสือเข้าหัวชัวร์
               30 นาทีแรก เข้าสู่บทเรียน เตรียมหนังสือเรียนที่จะอ่าน และอ่านตามปกติ จับประเด็นสำคัญ ตรงไหนที่คิดว่าต้องสนใจเป็นพิเศษก็ทำแถบไฮไลต์ไปซักปื้ดนึง สะดวกเวลากลับมาอ่านอีก แต่ช่วงเวลาที่อ่านขอเน้นย้ำเรื่องสมาธิ ถ้าอยากให้เป็น 20 นาทีที่คุ้มค่าก็ต้องเตรียมสมาธิให้พร้อมก่อนอ่านด้วยนะคะ ซึ่งพี่มิ้นท์ได้เคยเขียนเรื่องวิธีสร้างสมาธิไว้แล้วด้วย
เด็กดีดอทคอม :: เด็ด!! สูตรลับ 10-20-30 อ่านหนังสือเข้าหัวชัวร์
              20 นาทีต่อมา ช่วงเวลาของการทำแบบฝึกหัด ตะลุยโจทย์ ท่องศัพท์ ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องเอาความรู้ใหม่เข้าสมอง เนื่องจากสมาธิในการอ่านหนังสือของเรามักอยู่ที่ 20 นาทีถึงครึ่งชั่วโมงแรก ดังนั้นการเปลี่ยนมาทำกิจกรรมอื่นก็เป็นการพักสมองที่ดี หากวิชาไหนที่ไม่มีแบบฝึกหัด ก็เปลี่ยนมาเป็นสรุปสิ่งที่อ่านลงในสมุดโน้ตของตัวเองแทนก็ได้ ได้พักสมองแล้วยังได้ทบทวนความรู้ที่เพิ่งอ่านเมื่อตะกี้ให้จดจำแม่นยำทะลุทะลวงเข้าถึงฮิปโปแคมปัสไปเลย
เด็กดีดอทคอม :: เด็ด!! สูตรลับ 10-20-30 อ่านหนังสือเข้าหัวชัวร์
             10 นาทีสุดท้าย ให้เป็นช่วงเวลาของการพักเบรค ทั้งอ่านและทำแบบฝึกหัดรวมกันมา 50 นาทีแล้ว อาจจะล้า เมื่อยขา เมื่อยแขน ปวดตา ก็เอาเวลานี้ออกไปยืดเส้นยืดสาย เดินหน้าบ้าน เล่นกับหมา เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย จะช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงและกลับมาอยู่กับหนังสือต่อได้อีก

               10-20-30 ที่ว่ามานี้จะครบ 1 ชั่วโมงพอดี เมื่อครบ 1 รอบก็วนเป็นลูป อ่าน-ทำแบบฝึกหัด-พัก แบบนี้ไปเรื่อยๆ ถือได้ว่าเป็นสูตรลับที่เราได้ใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มากเกินหรือน้อยเกินไป ดีกว่าอ่านอัดรอบเดียว 3 ชั่วโมงโดยไม่พัก แบบนั้นทรมานสมองไม่พอ ยังทรมานตัวเองด้วยนะคะ ถ้าคิดว่าสูตรนี้มีประโยชน์ก็อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ^^

ประวัติของออร์เคสตรา



                                                                                  วงออร์เคสตรา  ( Orchestra )                                                                                                        
                                 วงออร์เคสตรา หรือวงดุริยางค์มีประวัติมาช้านานและมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเพื่อสนองความต้องการของผู้ประพันธ์ในการถ่ายทอดความรู้สึกของดนตรีในต่ละยุคแต่ละสมัย  ดังนั้นการศึกษาลักษณะของวงออร์เคสตราจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เข้าใจลักษณะของดนตรีสมัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี






าาาาาาาาาาาาาททททททททททททททท                        ท ประวัติของวงออร์เคสตรา                                                                                                                           
                                 ออร์เคสตรา  เป็นภาษาเยอรมัน  ตามความหมายรูปศัพท์  หมายถึง  สถานที่เต้นรำ  ( Dancing  Place )  ซึ่งหมายถึงส่วนหน้าเวทของโรงละครสมัยกรีกโบราณที่ใช้เป็นที่เต้นรำ  และร้องเพลงของพวกนักร้องประสานเสียง  ออร์เคสตราเป็นคำที่ใช้กับวงดนตรีทุกประเภท  เช่น  วงดนตรีของชาวอินโดนีเซีย  เรียกว่า  วงกาเมสันออร์เคสตรา  ( The  gamelan  orchestra )  หรือวงกากากุออร์เคสตราของญี่ปุ่น  ( The  gagaku  orchestra )  เป็นต้น  สำหรับดนตรีตะวันตก  ออร์เคสตรา  มีความหมายถึง  วงซิมโฟนี  ออร์เคสตรา  ได้แก่  วงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย  รวมทั้งเครื่องลมไม้  เครื่องลมทองเหลือง  และเครื่องตี
                                ความหมายของออร์เคสตรา เปลี่ยนไปในสมัยกลาง  โดยหมายถึงตัวเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น ต่อมาในกลางศตวรรษที่  18  คำว่าออร์เคสตรา  หมายถึง  การแสดงของวงดนตรีซึ่งเป็นความหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน    อย่างไรก็ตามคำนี้ยังคงใช้ในอีกความหมายหนึ่ง  คือ  พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวทีละคร  และโรงแสดงคอนเสิร์ต
                               ในขณะที่การใช้เครื่องดนตรีเล่นทำนองเดียวกับการร้องในยุคเมดิอีวัล และริเนซองส์  แต่ไม่มีการระบุแน่นอนถึงเครื่องดนตรีหรือจำนวนเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงแต่ประการใด  ระยะต่อมาในศตวรรษที่  16  เมื่อมี อุปรากร ( opera )เกิดขึ้น  ความจำเป็นในการกำหนดจำนวนเครื่องดนตรีก็เกิดขึ้น  เพราะต้องการให้เครื่องบรรเลงกลมกลืนกับเสียงร้องของนักร้อง  ใน โอเปราเรื่อง  ( Orfeo,  1607 ), มอนเทแวร์ดิ  ( Monteverdi )  เริ่มกำหนดจำนวนเครื่องลงในบทเพลง  การพัฒนาวงออร์เคสตราจึงเริ่มมีขึ้น  ซึ่งในระยะแรกเป็นลักษณะของวงเครื่องสายออร์เคสตรา  ( String  Orchestra )  ซึ่งมีจำนวนผู้บรรเลงประมาณ  10 - 20  คน  โดยบางครั้งอาจจะมีมากกว่านี้ตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง  ในศตวรรษที่ 17   วงออร์เคสตรามีการเพิ่มเครื่องลมไม้และตอนปลายของยุคบาโรค  ( ประมาณ  ค.ศ.  1750 )  ผู้ประพันธ์เพลงนิยมบอกจำนวนของเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด  นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง  และเครื่องประกอบจังหวะในวงออร์เคสตรา
                              ราวกลางศตวรรษที่ 18  การเปลี่ยนแปลงวงออร์เคสตรามีอย่างมากมาย  เครื่องสายทุกชนิดมีการจัดระบบจนมีลักษณะคล้ายคลึงกับวงออร์เคสตราในปัจจุบัน  โดยมีการนำเครื่องดนตรีบางชิ้นมาแทนที่เครื่องดนตรีที่เคยใช้กัน  เช่น  การนำฟลูท  มาแทนขลุยริคอเดอร์  การเพิ่มคลาริเนท เข้ามาในกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้  เป็นต้น  กล่าวได้ว่า  วงออร์เคสตราเป็นรูปแบบขึ้นมาจนเป็นมาตรฐานในยุคนี้  คือ  ยุคคลาสสิก  ซึ่งเหตุผลประการหนึ่งคือ  บทเพลงซิมโฟนี  เป็นรูปแบบขึ้นมาในยุคนี้  จึงทำให้ต้องมีการจัดวงออร์เคสตราให้มีมาตรฐานเพื่อใช้เล่นเพลงซิมโฟนี  นอกจากนี้การบรรเลงบทเพลงประเภทคอนแชร์โต  โอเปรา และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาวงออร์เคสตราเป็นแบบแผนขึ้น  กล่าวคือ  การมีเครื่องดนตรีครบทุกประเภท  ได้แก่  เครื่องสาย  เครื่องลมไม้  เครื่องเป่า  และเครื่องตี  โดยในแต่ละเครื่องดนตรีมีเครื่องดนตรีพื้นฐานครบถ้วน  กล่าวคือ  ในกลุ่มเครื่องสาย ประกอบด้วย  ไวโอลิน  วิโอลา  วิโอลอนเชลโล และ ดับเบิลเบส  ในกลุ่มเครื่องลมไม้ประกอบไปด้วย  ฟลุท  คลาริเนท  โอโบ  บาซูน  ในกลุ่มเครื่องลมทองเหลือง  ประกอบด้วย  ฮอร์น  ทรัมเปท  ทรอมโบน  และทูบา  ในกลุ่มเครื่องตี มักจะมีกลองทิมพานี  กลองใหญ่  และเครื่องทำจังหวะอื่น ๆ   การจัดวงรายละเอียดจะมีแตกต่างกันไปบ้างตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง  เช่น  บางครั้งอาจจะมี  ฮาร์พ  ปิกโกโล  เพิ่มเข้าไปด้วย  เป็นต้น
                               ในตอนต้นของศตวรรษที่ 19  เบโธเฟน ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกี่ยวกับจำนวนเครื่องดนตรี  เช่น  เพิ่มฮอร์นเป็น 4  ตัว  และเติมเครื่องตีต่าง ๆ เช่น ฉาบ  สามเหลี่ยมเข้าไปในราวกลางศตวรรษที่ 19  ซึ่งเป็นยุคโรแมนติก  ได้มีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีเข้าไปทำให้ออร์เคสตราเป็นวงใหญ่ขึ้น  เช่น  เบร์ลิโอส  ( Berlioz )  เพิ่มเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าทั้งหลายเป็นอย่างละ  4  เครื่อง  ทั้งหมด  เช่น  ไวโอลิน  เพิ่มเป็น  28  เครื่อง  ซึ่งแต่เดิมมีประมาณ  10 - 12  เครื่องเท่านั้น  นักประพันธ์แนวโรแมนติก  เช่น  บราห์มส์  ( Brahms )  เมนเดลซอน ( Mandelssohn )  และ ชูทานน์ ( Schumann )  ล้วนแต่ต้องการวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ทั้งสิ้นเพื่อ





อ่านแล้วคอมเมนด้วยนะค่าาาา                      ขอบคุณที่อ่านค่าา


วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คิดอย่างไรกับโรงเรียนเพลินพัฒนา?(:

โรงเรียนนี้เด็กส่วนมากจะคล้ำมาก
                                                                                      นี้คือตัวอย่างค่ะแถมยังม่ายหนักวิชาการอีก หนักจัยจัง
                                   แต่ก็เก่งด้านการแสดงนะค่ะ ดูแล้วตอบด้วยค่ะ
การรำของนักเรียนชั้นม.1
โรงเรียนเราจะหนักด้านการแสดงออกนะ ไม่คอยจะเน้นทางด้านวิชาการซะเท่าไร
สวยมั้ยค่ะ

ถ้ามีอะไรจะถามเกี่ยวกับโรงเรียนถามมาด๊ายเลยนะค่

ส่วนดิฉันเรียนอยู่ที่นี้ ม.1ค่ะ